การรับรองปริญญาเภสัชศาสตร์ :คณะกรรมการการศึกษาเภสัชศาสตร์ สภาเภสัชกรรม โดย ภญ. รศ. ดร. โพยม วงศ์ภูวรักษ์ เลขานุการคณะกรรมการการศึกษาเภสัชศาสตร์
คณะกรรมการการศึกษาเภสัชศาสตร์ชุดปัจจุบันได้รับการแต่งตั้งโดยสภาเภสัชกรรมเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๖ โดยรับมอบหมายจากสภาเภสัชกรรมให้มีหน้าที่ดังนี้
(๑) ศึกษาติดตามความก้าวหน้าทางวิชาการทางเภสัชศาสตร์และวิชาชีพเภสัชกรรม
(๒) ให้ความเห็นการปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรเภสัชศาสตร์และเกณฑ์มาตรฐาน
สถาบันให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของวิทยาการในระดับนานาชาติ เพื่อเสนอสภาเภสัชกรรมพิจารณา
และประกาศใช้
(๓) พิจารณาเสนอให้ความเห็นชอบ หรือเพิกถอนความเห็นชอบหลักสูตรเภสัชศาสตร์ และการรับรองสถาบัน ให้คณะกรรมการสภาเภสชกรรมพิจารณา
(๔) ให้คำแนะนำสถาบันเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาสถาบันและหลักสูตรเภสัชศาสตร์
(๕) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งคณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการการศึกษาเภสัชศาสตร์แต่งตั้งในขณะนี้คือ คณะอนุกรรมการประเมินหลักสูตรและสถาบันเภสัชศาสตร์
ในฉบับนี้จะขอเล่าเฉพาะเรื่องการให้ความเห็นชอบหลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิตและการรับรองสถาบันเภสัชศาสตร์เพื่อการรับรองปริญญาเภสัชศาสตร์ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างที่สภาเภสัชกรรมกำลังดำเนินการรับรองปริญญาคณะเภสัชศาสตร์ทั้ง ๑๙ แห่งทั่วประเทศ
สภาเภสัชกรรมกำหนดการประกันคุณภาพของเภสัชกรที่ผลิตจากสถาบันต่าง ๆ ไว้ ๒ ประการคือ ๑) การรับรองปริญญาเภสัชศาสตร์ ๒) การสอบความรู้ผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะการรับรองปริญญาเภสัชศาสตร์ ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของคณะกรรมการการศึกษาเภสัชศาสตร์ และเป็นการประกันคุณภาพในเชิงของกระบวนการดำเนินงานของสถาบัน เพื่อให้มั่นใจว่าสถาบันที่จะผลิตเภสัชกรมีการดำเนินงานเพื่อผลิตเภสัชกรอย่างมีคุณภาพ เป็นการปกป้องสิทธิของผู้เข้าเรียน เพราะหากไม่มีกระบวนการรับรองปริญญาโดยสภาเภสัชกรรมตั้งแต่ต้น กว่าผู้เข้าเรียนจะทราบว่าสถาบันที่ตนเองเลือกเรียนไม่มีคุณภาพ ก็ต่อเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ซึ่งจะสายเกินไป
ขั้นตอนการรับรองปริญญาเภสัชศาสตร์ มี ๒ ขั้นตอนดังนี้
(๑) การให้ความเห็นชอบหลักสูตร เมื่อคณะเภสัชศาสตร์จัดทำหลักสูตรใหม่หรือมีการปรับปรุงหลักสูตรเมื่อใดก็ตาม ต้องยื่นขอความเห็นชอบจากสภาเภสัชกรรมพิจารณาให้หลักสูตรมีมาตรฐานตามเกณฑ์ที่สภาเภสัชกรรมกำหนด โดยคณะอนุกรรมการประเมินสถาบันและหลักสูตรเภสัชศาสตร์จะเป็นผู้ประเมินเบื้องต้นและนำเสนอผลการประเมินต่อคณะกรรมการการศึกษาเภสัชศาสตร์พิจารณา เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการสภาเภสัชกรรมต่อไป
(๒) การรับรองสถาบัน โดยคณะอนุกรรมการประเมินสถาบันและหลักสูตรเภสัชศาสตร์จะไปตรวจเยี่ยมคณะเภสัชศาสตร์ในสถาบันต่าง ๆ เพื่อเป็นการประกันว่าคณะเภสัชศาสตร์ต่าง ๆ มีการดำเนินการเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานของสภาเภสัชกรรม และนำเสนอผลการประเมินต่อคณะกรรมการการศึกษาเภสัชศาสตร์พิจารณา เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการสภาเภสัชกรรมต่อไป
เมื่อสภาเภสัชกรรมให้ความเห็นชอบหลักสูตรและให้การรับรองสถาบันแล้วจึงถือว่าครบขั้นตอนของการรับรองปริญญา บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันนั้นจึงจะมีสิทธิเข้าสอบความรู้ผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมได้
สภาเภสัชกรรมต้องให้ความเห็นชอบหลักสูตรทุกครั้งที่คณะเภสัชศาสตร์มีการเปิดหลักสูตรใหม่หรือปรับปรุงหลักสูตร แต่การตรวจประเมินเพื่อรับรองสถาบันนั้นจะมีการตรวจประเมินเพื่อรับรองสถาบันทุก ๕ปี สำหรับคณะเภสัชศาสตร์ที่เปิดมานานแล้ว ทุกสถาบันไม่เคยได้รับการตรวจประเมินรับรองสถาบันมาก่อน เนื่องจากได้รับการรับรองสถาบันอัตโนมัติตามบทเฉพาะกาลของข้อบังคับสภาเภสัชกรรมว่าด้วย การรับรองปริญญา ฯ พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งทุกสถาบันกำลังจะหมดเขตการรับรองปริญญา ๕ ปีตามบทเฉพาะกาลดังกล่าว ในวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๖ นี้ โดยช่วงนี้คณะอนุกรรมการประเมินสถาบันฯ กำลังอยู่ในระหว่างการตรวจรับรองสถาบันเก่าเหล่านี้อยู่
สำหรับคณะเภสัชศาสตร์ที่เปิดใหม่ สภาเภสัชกรรมจะต้องให้การรับรองปริญญาโดยให้ความเห็นชอบหลักสูตรและให้การรับรองสถาบันก่อนเปิดรับนักศึกษา และต้องมีการตรวจเยี่ยมเพื่อรับรองสถาบันทุกปีจนกว่าจะมีบัณฑิตที่เข้าสอบขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมของสภาเภสัชกรรมเป็นครั้งแรกในปีนั้น และมีผลการสอบผ่านไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๕๐ ติดต่อกัน ๓ ปี จึงจะสามารถประเมินรับรองสถาบันเป็นครั้งละ ๕ ปีได้ ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับสภาเภสัชกรรม ว่าด้วยการเพิกถอนการรับรองปริญญาของสถาบันการศึกษาทางเภสัชศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๗ (๓)
คณะเภสัชศาสตร์ในประเทศไทยในขณะนี้มีทั้งหมด ๑๙ สถาบัน โดยเป็นสถาบันเก่า ๑๒ แห่ง และมีสถาบันใหม่ ๗ แห่ง สำหรับสถาบันใหม่ที่ต้องมีการรับรองทุกปีสังกัดในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ดังนี้ มหาวิทยาลัยพายัพ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยสยาม มหาวิทยาลัยพะเยา มหาวิทยาลัยบูรพา และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การรับรองสถาบันมีเกณณฑ์การพิจารณาหลายประการ โดยมีการพิจารณาปัจจัยที่บ่งบอกคุณภาพของการจัดการศึกษาทั้งหมด ๑๒ ปัจจัยดังนี้
ปัจจัยที่ ๑ คุณสมบัติของมหาวิทยาลัย/คณะ
ปัจจัยที่ ๒ อาจารย์/บุคลากร
ปัจจัยที่ ๓ เกณฑ์การรับนิสิต/นักศึกษา
ปัจจัยที่ ๔ ความพร้อมในการจัดการศึกษาหมวดวิชาในหลักสูตร
ปัจจัยที่ ๕ ความพร้อมของการจัดการฝึกปฏิบัติวิชาชีพ
ปัจจัยที่ ๖ ระบบการดูแลนิสิต/นักศึกษาและระบบอาจารย์ที่ปรึกษา
ปัจจัยที่ ๗ อาคารสถานที่ อุปกรณ์ ประกอบการเรียนการสอนและการวิจัย
ปัจจัยที่ ๘ ห้องสมุดและสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ปัจจัยที่ ๙ การบริหารจัดการ
ปัจจัยที่ ๑๐ แหล่งงบประมาณและประมาณการงบประมาณ
ปัจจัยที่ ๑๑ ระบบประกันคุณภาพการศึกษา
ปัจจัยที่ ๑๒ การวิจัย
ผู้ที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูแบบประเมิน กศภ. ๒ แบบประเมินเพื่อรับรองสถาบันผลิตบัณฑิตทางเภสัชศาสตร์ ได้ที่เว็บไซต์ของสภาเภสัชกรรม www.pharmacycouncil.org เข้าไปที่หน่วยงานในสังกัด และเลือก “คณะกรรมการการศึกษาฯ” ในเว็บไซต์นี้ยังมีข้อมูลหลักสูตรและคณะเภสัชศาสตร์ที่สภาเภสัชกรรมให้การรับรองปริญญา ตลอดจน ประกาศ ระเบียบ ข้อบังคับ และเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวช้องกับการศึกษาเภสัชศาสตร์
หากคณะเภสัชศาสตร์ใดมีผลการตรวจประเมินสถาบันไม่ผ่านตามปัจจัยข้อใดข้อหนึ่ง คณะเภสัชศาสตร์นั้นจะต้องปรับปรุงจนกว่าจะเป็นไปตามเกณฑ์ที่สภาเภสัชกรรมกำหนด จึงจะได้รับการรับรองปริญญา โดยเคยมีบางสถาบันที่ผลการประเมินสถาบันไม่ผ่าน ทำให้สภาเภสัชกรรมไม่สามารถรับรองปริญญาได้ ส่งผลให้ในปีการศึกษาต่อไป หากสถาบันนี้ยังรับนักศึกษาเข้าเรียน นักศึกษาที่เข้าเรียนในปีนั้นไม่มีสิทธิเข้าสอบความรู้ผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม และเพื่อไม่ให้กระทบกับสิทธิของผู้เข้าเรียนก่อนหน้าที่สภาเภสัชกรรมจะไม่ให้การรับรองสถาบัน นักศึกษาที่เรียนอยู่ในสถาบันนี้อยู่ก่อนแล้วยังมีสิทธิเข้าสอบความรู้ผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมได้
จากการตรวจประเมินสถาบันที่ผ่านมามีคุณประโยชน์หลายประการในการประกันคุณภาพการผลิตเภสัชกร ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ จำนวนรับนักศึกษา ซึ่งจากเดิมแต่ละสถาบันกำหนดจำนวนรับนักศึกษาด้วยตนเอง แม้มีเกณฑ์ของสำนักงานการอุดมศึกษากำหนดว่าจำนวนอาจารย์ประจำต่อนักศึกษา สำหรับคณะที่สอนด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพซึ่งคำนวณตามค่า Full Time Equivalent Student หรือเรียกย่อว่า FTES มีสัดส่วนไม่มากกว่า ๑: ๘ แต่ไม่มีหน่วยงานใดดูแลให้เป็นไปตามเกณฑ์นี้อย่างจริงจริง ทำให้บางสถาบันมีจำนวนอาจารย์น้อย แต่เปิดรับนักศึกษาจำนวนมาก เกินกว่าเกณฑ์ FTES ๑ : ๘ จากการกระบวนการรับรองปริญญาของสภาเภสัชกรรมทำให้สามารถควบคุมให้แต่ละสถาบันรับนักศึกษาในจำนวนที่เหมาะสมตามจำนวนอาจารย์ที่มีอยู่ นอกจากนี้ยังทำให้สถาบันต่าง ๆ ได้ทบทวนตนเองในการดำเนินการด้านต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อนักศึกษา เช่น คุณภาพและความเพียงพอของสถานที่ อุปกรณ์การเรียนการสอน ความปลอดภัยของนักศึกษาในการเรียนวิชาปฏิบัติการ |